สวัสดีท่านผู้อ่านและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับสรุปสาระสำคัญจากการเสวนา “ความท้าทายของผู้ตรวจสอบกับเทคโนโลยี AI และ Blockchain” ซึ่งถือเป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคม ISACA Bangkok Chapter ที่ได้ร่วมกันจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ได้มุ่งเน้นประเด็นความท้าทายของสองเทคโนโลยีที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมโลกในยุคดิจิทัล ซึ่งผู้ตรวจสอบ และนักบัญชีควรตระหนักถึงอิทธิพลและผลกระทบของเทคโนโลยีดังกล่าว เมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ โดยในฉบับนี้ดิฉันขอสรุปสาระสำคัญของการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การปรับตัวของผู้ตรวจสอบภายในต่อเทคโนโลยี AI และ BLOCKCHAIN” โดย ดร.ภูมิ ภูมิรัตน์ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพื่อนสมาชิกทุกท่านสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อไปนะคะ
ดร.ภูมิ ได้เริ่มต้นการบรรยายโดยกล่าวว่า อยากให้บรรยากาศของการสัมมนาในวันนี้ เป็นการพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน กับสองเทคโนโลยีที่เชื่อได้ว่า สถาบันการเงินได้นำมาใช้อย่างแน่นอน และองค์การต่าง ๆ คงนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต โดยสิ่งที่ ดร.ภูมิบรรยายแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
นิยามของ AI คืออะไร และมีความสำคัญต่อผู้ตรวจสอบภายในอย่างไร
ในความเป็นจริง AI เป็นสิ่งที่นิยามได้ยาก และปัจจุบัน AI ยังไม่มีคำนิยามอย่างชัดเจน ซึ่งต่อไปจะมีมาตรฐานมารองรับ หากจะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย “AI คือ สาขาของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่ต้องการเลียนแบบปัญญาของมนุษย์ในระบบ IT” ตัวอย่างของ AI คือ เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยเสียง เทคโนโลยีตรวจสอบและจดจำใบหน้า(Face Recognition) และโปรแกรมตอบกลับการสนทนา (Chatbot) เป็นต้น โดยผู้ตรวจสอบสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นในองค์กร เนื่องจากปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ มีการใช้ระบบดิจิทัลค่อนข้างมากจึงมีข้อมูลเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่ง Natural Language AI สามารถเข้าไปฟัง อ่านเอกสาร และเรียนรู้ข้อมูลทั้งหมด ผู้ตรวจสอบจึงสามารถสั่งการได้ว่าต้องการข้อมูลใด และให้ AI วิเคราะห์ข้อมูล โดยผู้ตรวจสอบทำการยืนยันข้อมูลนั้นอีกครั้ง
ผู้ตรวจสอบภายใน (IA) จะตรวจสอบ AI อย่างไร
ดร.ภูมิ กล่าวว่า AI ต้องเข้ามามีอิทธิพลต่อระบบธุรกิจอย่างแน่นอน ผู้ตรวจสอบภายใน หรือ IA จึงต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับ AI ให้ได้ โดยมีข้อมูลทางสถิติที่น่าสนใจในปี 2017 และ 2018 พบว่า เหล่า Startup ในยุโรปจำนวนมาก (ร้อยละ 40) ที่อ้างว่ามีการลงทุนในเทคโนโลยี AI แต่แท้จริงแล้วมิใช่เทคโนโลยี AI ดังนั้น ผู้ตรวจสอบจึงจำเป็นต้องทราบก่อนว่า Product นั้น คือ AI จริงหรือไม่ ? เนื่องจากหากหน่วยงานกำกับดูแลกำหนดให้ผู้ใช้ AI ต้องมีการรายงาน องค์กรจำเป็นต้องรายงานให้สอดคล้องตามข้อกำหนดดังกล่าว มิฉะนั้นจะเกิดปัญหา ในทางตรงกันข้ามหาก Product นั้น มิใช่ AI แต่กลับรายงานว่าเป็น AI ก็จะเกิดปัญหาตามมาเช่นกัน
จากผลการวิจัยของ ISACA พบว่า ความท้าทายของผู้ตรวจสอบ คือ ปัจจุบันยังไม่มีกรอบแนวทาง (Framework) ในการตรวจสอบ AI อย่างชัดเจน จึงอาจต้องประยุกต์จากกรอบแนวทางที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังไม่มีคำนิยาม และขอบเขตความสามารถของ AI ที่ชัดเจนว่าคืออะไร ผู้ตรวจสอบจึงต้องมองว่า AI is a black box คือ ทราบผลลัพธ์แต่ไม่ทราบวิธีการได้มาซึ่งผลลัพธ์ ดังเช่น โปรแกรมแปลภาษาของกูเกิล หรือ Google Translate ที่จะทำความเข้าใจทุกภาษา โดยมีภาษากลางของตนเอง ซึ่งแม้กระทั่งผู้พัฒนาก็ยังไม่ทราบว่าได้ผลลัพธ์มาอย่างไร และถึงแม้ว่าจะมี Source Code ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ดังนั้นวิธีการตรวจสอบ AI จึงเป็นเชิงเทคนิคค่อนข้างมาก ซึ่งผู้ตรวจสอบอาจมอบหมายให้ผู้ที่มีความรู้และทักษะเชิงเทคนิคปฏิบัติงานแทน แต่ผู้ตรวจสอบต้องเข้าใจ ประเภท คุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของ AI แต่ละประเภท ที่มีทั้งแบบ Supervised Learning และ Unsupervised Learning ซึ่งเหมาะกับโจทย์ที่แตกต่างกัน หากเป็น AI ประเภทแรกจะใช้ได้ผลค่อนข้างดีกับการตรวจสอบความผิดปกติ นอกจากนี้ผู้ตรวจสอบควรทราบว่าการ Train AI มีกี่รูปแบบ รวมถึงประโยชน์ของ AI และนำมาพัฒนากรอบแนวทางในการตรวจสอบ (Test Framework) โดยวิธีการทดสอบจะมีหลายวิธี ซึ่งอาจศึกษาเพิ่มเติมจากเอกสารทางวิชาการ และผลงานวิจัยเพื่อเลือกวิธีทดสอบได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับประเภทของ AI หรืออาจให้วิศวกรคอมพิวเตอร์หาอัลกอริทึม (Algorithm) หรือกรรมวิธีที่จะทดสอบ หากเป็นอัลกอริทึมที่องค์กรซื้อมา หรือเป็น Cloud Service ที่องค์กรซื้อมา ผู้ตรวจสอบควรสื่อสารกับองค์กรและผู้ขาย ว่าผู้ขายมีการทดสอบในประเด็นดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ และองค์กรมีความเข้าใจ AI ที่จัดซื้อมามากน้อยเพียงใด ซึ่งผู้ตรวจสอบสามารถทำได้เท่านี้ ไม่สามารถทำได้มากกว่านี้
ผู้ตรวจสอบภายในต้องรับมือกับ Blockchain อย่างไร
ก่อนตอบคำถามนี้ ดร.ภูมิ ได้อธิบาย Blockchain ให้เข้าใจได้โดยง่าย ดังนี้ 1) Blockchain เป็นโปรแกรมประเภทระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) ซึ่งต้องทำงานร่วมกับเครื่องอื่น 2) เมื่อ Blockchain เก็บข้อมูลแล้ว ข้อมูลทั้งเครือข่ายจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องของเราอาจจะโดนแฮก และถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ 3) Blockchain Network จะล่มยากมาก 4) การประมวลผลของ Blockchain ควรประมวลผลในหลายเครื่อง และควรตรวจสอบได้ ขึ้นกับ Blockchain ที่ใช้ ซึ่งผู้ตรวจสอบสามารถรับทราบผล แต่ไม่สามารถเข้าไปร่วม Validate ได้จุดเด่นของ Blockchain คือ โดนแฮกยากมาก ข้อเสีย คือการจัดการคีย์ (Key Management) เป็นเรื่องที่สำคัญมาก องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และถึงแม้ Blockchain จะมีจุดเด่นคือแฮกข้อมูลได้ยากมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ความเสี่ยงของ Blockchain เกิดขึ้นได้หลายจุดได้แก่ Blockchain Infrastructure Security, Account Security and Smart contract Security ดังนี้
โดย..ผศ.ขวัญหทัย มิตรภานนท์ |