ในยุคที่กระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกำลังมาแรง การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้งานในหลาย ๆ อุตสาหกรรมไม่ว่าภาคการผลิตหรือภาคบริการเกิดขึ้นในทุกธุรกิจ มีคำกล่าวซึ่งถูกพูดถึงบ่อย ๆ คือ “AI จะมาทดแทนนักบัญชี” สำหรับผู้เขียนเมื่อได้ฟัง ก็เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วบทบาทของนักบัญชีในโลกอนาคต ในภาวะที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมากจะเป็นอย่างไร
ย้อนกลับไปในอดีตตั้งแต่สมัยการทำบัญชีเริ่มต้นด้วยระบบบันทึกบัญชีด้วยมือ ซึ่งจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการค้นหาตัวเลขที่ไม่ดุล หรือการผ่านบัญชีด้วยสมุดบัญชีหลาย ๆ เล่ม กว่าที่จะสามารถจัดทำงบการเงินได้ เมื่อเริ่มมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็เริ่มมีการพัฒนาให้มีโปรแกรมบัญชีเพื่อให้การจัดทำบัญชีด้วยมือง่ายขึ้น มาช่วยในการจัดทำบัญชี ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถช่วยผ่านรายการบัญชีไปยังบัญชีแยกประเภทและออกงบทดลองได้รวดเร็วขึ้นปัญหาในการจัดทำงบการเงินที่ไม่ลงตัวก็ลดน้อยลง ยิ่งต่อมาเมื่อมีการพัฒนาโปรแกรมระบบบัญชีให้สามารถออกเอกสารทางการค้า เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบสำคัญจ่ายได้แล้ว ก็สามารถเชื่อมโยงรายการค้ามายังรายการบัญชีด้วยการผูกผังบัญชีกับรายการค้า ช่วยลดเวลาในการบันทึกบัญชีได้มากขึ้นงานของนักบัญชีในช่วงเวลานั้นจะถูกทดแทนในการผ่านบัญชีและการจัดทำข้อมูลทางการเงินบางส่วนด้วยโปรแกรมบัญชี นักบัญชีก็จะมุ่งเน้นงานการตรวจสอบการบันทึกบัญชีกับเอกสารการค้า รวมถึงการคำนวณรายการปรับปรุงต่าง ๆ ที่ไม่ได้เชื่อมโยงโดยระบบเพื่อนำมาบันทึกบัญชี และจัดทำงบการเงินให้เสร็จสิ้น
ในสมัยถัดมาเมื่อธุรกรรมทางการค้ามีความซับซ้อนขึ้น กระบวนการผลิตและการตัดสินใจทางธุรกิจต้องการการตัดสินใจที่แม่นยำ รวดเร็ว และทันต่อเวลา โปรแกรมสำหรับวางแผนบริหารธุรกิจขององค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP) ก็ได้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการจัดทำข้อมูลในการวางแผน การขายสินค้า ระบบต้นทุนการผลิต และระบบควบคุมสินค้าคงเหลือ ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแบบรวมศูนย์ ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทางบัญชีที่สลับซับซ้อนถูกคำนวณโดยโปรแกรมซึ่งสามารถจัดเตรียมรายการปรับปรุงอัตโนมัติ เช่น การปรับปรุงต้นทุน งานของนักบัญชีจะถูกทดแทนในส่วนของการคำนวณที่ซับซ้อน และการจัดตรียมรายการปรับปรุงบางส่วน หันไปมุ่งเน้นการควบคุมข้อมูลนำเข้าระบบ (Input) การตรวจสอบความถูกต้อง การตีความรายการค้า การวิเคราะห์ความสมเหตุผลของข้อมูลสารสนเทศและระบบการควบคุมภายในที่เกี่ยวข้องกับระบบงาน
จะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มีการนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาพัฒนากระบวนการทำงานและทดแทนงานของนักบัญชีอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในปัจจุบัน มีหลาย ๆ ผู้พัฒนาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เริ่มเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้การจัดทำบัญชี ง่ายและรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโปรแกรมให้ใช้บนระบบ Cloud ที่สามารถทำให้นักบัญชีจัดทำงานจากที่ไหนก็ได้ การใช้ความสามารถของเทคโนโลยีการรู้จดจำตัวอักษร (Optical Character Recognition : OCR)ซึ่งสามารถอ่านข้อมูลจากเอกสารการค้ามาจัดเตรียมข้อมูลเพื่อนำเข้าสู่ระบบบัญชี บางผู้พัฒนาสามารถประยุกต์เอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาช่วยให้สามารถแปลงข้อมูลที่ถูกจัดเตรียมในรูปแบบของรายการบันทึกบัญชีโดยอาศัยการเรียนรู้จดจำรูปแบบของรายการค้าได้ มาบันทึกบัญชีอัตโนมัติได้ ในปัจจุบัน โปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งมีการใช้งานแยกส่วนกัน สามารถส่งข้อมูลกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูล (Application Programming Interface : API) ซึ่งทำให้การรับส่ง ข้อมูลระหว่างระบบงาน เสร็จในชั่วพริบตา ยิ่งในอนาคตกำลังจะมีการนำเทคโนโลยี บล็อคเชน (Blockchain) เข้ามาปรับใช้กับงานบัญชี การบันทึกบัญชีจะถูกทำรายการและบันทึกโดยอัตโนมัติ งานของนักบัญชีในอนาคตจะถูกทดแทนในส่วนของการการตีความรายการค้าและบันทึกบัญชีอย่างแน่นอน
สิ่งที่นักบัญชีในโลกอนาคตต้องมีการปรับตัว คือ การทบทวนทักษะเพื่ออนาคต (Reskill) เพื่อให้ตอบความต้องการของโลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความเข้าใจด้านการทำธุรกิจและการตลาด ธุรกิจเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่จะมีโมเดลธุรกิจที่แปลกใหม่และซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการตีความด้วยความเข้าใจและสามารถปรับเนื้อหาเชิงเศรษฐกิจเข้ากับแม่บทหรือมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้รายการได้ นักบัญชีจะต้องมีความเข้าใจระบบสารสนเทศทางการบัญชีและเทคโนโลยีในระดับที่สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ เพื่อให้ทันกับระบบงานของลูกค้าและรูปแบบการปฏิบัติงานของนักบัญชีเองที่จะต้องมีการพัฒนาและเทคโนโลยีเป็นส่วนร่วมมากขึ้นนอกจากทักษะด้านความรู้ (Hard Skills) แล้ว ทักษะด้านอารมณ์ (Soft Skills) ก็จะเริ่มมีส่วนสำคัญในการประกอบอาชีพบัญชีไม่ว่าอยู่ในบทบาทใด เพราะงานบันทึกบัญชีในโลกอนาคตกำลังจะหายไปเหลือแต่การใช้ดุลยพินิจและวิเคราะห์ แต่การสื่อสารกับฝ่ายบริหารเพื่อนำข้อมูลสารสนเทศที่ได้จากระบบงานจะต้องสามารถถูกนำไปสู่การปรับรูปแบบที่ตัดสินใจได้อย่างทันต่อเวลาและเข้าใจได้ การสื่อสารและทำงานกับเพื่อนร่วมงานข้ามวิชาชีพเพื่อการหาทางออกของปัญหา (Solution) ให้กับองค์กรจะมีส่วนสำคัญมากขึ้นในบางบทบาทนักบัญชีอาจต้องมีส่วนร่วมกับฝ่ายบริหารในการทำงานเชิงกลยุทธ์ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบงานขององค์กรในหน้าที่การสนับสนุนข้อมูลเชิงตัวเลขให้กับยุทธศาสตร์องค์กร จึงเห็นได้ว่านักบัญชีในโลกอนาคตนั้นนอกจากจะ Hi-Tech แล้ว จะต้อง Hi-Touch ด้วย
ในอนาคตนักบัญชี...จะเป็นผู้รวบรวมองค์ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้รวมกัน จนสามารถสร้างนวัตกรรมที่ส่งเสริมคุณค่า ลดต้นทุน หรือเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานเป็นองค์ความรู้ใหม่ ส่งผลให้เกิด “นักบัญชีนวัตกร”
สิ่งที่นักบัญชีในโลกอนาคตต้องปรับตัว...
RE, HARD, SOFT SKILL
RESKILL >>> การทบทวนทักษะเพื่ออนาคตทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
HARDSKILL >>> ทักษะด้านความรู้นักบัญชีจะต้องมีความเข้าใจระบบสารสนเทศทางการบัญชีและเทคโนโลยีในระดับที่สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ
SOFTSKILL >>> ทักษะด้านอารมณ์สื่อสารและทำงานกับเพื่อนร่วมงานข้ามวิชาชีพเพื่อการหาทางออกของปัญหา (Solution) ให้กับองค์กร
ปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้กระทบแค่การปรับตัวของนักบัญชีแต่จะส่งผลไปถึงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา ซึ่งอาจจะไม่จำกัดเฉพาะระดับมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักบัญชีสามารถมีทักษะที่ใช้งานได้ในระดับผู้ประกอบวิชาชีพทันทีเมื่อจบการศึกษา ในอนาคตนักบัญชีจะเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ทั้ง การเงิน การบัญชี ระบบสารสนเทศทางการเงินเทคโนโลยี และมีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่หลากหลายจะเป็นผู้รวบรวมองค์ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ร่วมกันจนสามารถสร้างนวัตกรรมที่ส่งเสริมคุณค่า ลดต้นทุน หรือเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานเป็นองค์ความรู้ใหม่ ส่งผลให้เกิด “นักบัญชีนวัตกร” ถึงเวลาที่นักบัญชีเราจะต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาวิชาชีพของเราเพื่อรองรับอนาคต การสร้างคนของโลกอนาคตเป็นภาระหน้าที่สำคัญของนักบัญชี ในยุคปัจจุบันเพื่อเตรียมพร้อมให้เกิดการปรับตัวในคลื่นการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีในครั้งนี้ เพื่อให้วิชาชีพนักบัญชีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญสำหรับโลกธุรกิจในอนาคตมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป
โดย..นายราชิต ไชยรัตน์ |